tag:blogger.com,1999:blog-38108665191624526792024-03-04T21:32:41.748-08:00Political-science-Studyบันทึกช่วยจำsomjeedhttp://www.blogger.com/profile/04674868009127189799noreply@blogger.comBlogger3125tag:blogger.com,1999:blog-3810866519162452679.post-42909098149318503912013-09-08T09:23:00.000-07:002013-09-08T09:23:03.346-07:00ข้อมูลที่ต้องเตรียม (08/08/2013)<b>ความรู้ในหลักวิชาทางการเมืองการปกครองและการบริหารราชการแนวใหม่</b><br />
- การเมืองการปกครอง<br />- หลักในการปกครองประเทศ<br />
- วิวัฒนาการการปกครองของไทย<br />
- การบริหารภาครัฐแนวใหม่<br />
- การจัดการความรู้กับการบริหารราชการแนวใหม่<br />
- แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย พ.ศ. 2551-2555<br />
<br />
<b>ความรู้ทั่วไทยเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมปัจจุบันทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ</b><br />
- รายงานสรุปสภาวะของประเทศ<br />
- แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ<br />
<br />
<b>ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายและระเบียบที่ใช้ในการปฎิบัติราชการ</b><br />
- รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550<br />
- พระราชบัญญัติระเบียนบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 แก้ไขเพิ่มเติมถึงฉบับที่ 8 พ.ศ. 2553<br />
- พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546<br />
- พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551<br />
- พระราชบัญญัติวิธีปฎิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539<br />
- พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539<br />
- พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540<br />
- ระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ พ.ศ. 2544<br />
- ระเบียบสำนักนายยกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณ พ.ศ. 2526 แก้ไขเพิ่มเติมถึง ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2548<br /> - พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 แก้ไขเพิ่มเติมถึง ฉบับที่ 6 พ.ศ. 2543<br />
- ระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. 2548 แก้ไขเพิ่มเติมถึง ฉบับที่ 4 พ.ศ. 2554<br />
- ระเบียบการเบิกจ่ายเงินจากคลัง การเก็บรักษาเงินและการนำเงินส่งคลัง พ.ศ. 2551<br />
- ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 แก้ไขเพิ่มเติมถึง ฉบับที่ 7 พ.ศ. 2552<br />
- ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2549<br />
<br />
<b>ความรู้เบื้องต้นเกี่ยงกับกฎหมายทั่วไป กฎหมายอาญา กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา กฎหมายแพ่ง และกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง</b><br />
- กฎหมายทั่วไป<br />
- กฎหมายอาญา<br />
- กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา<br />
- กฎหมายแพ่งและพาณิชย์<br />
- กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งsomjeedhttp://www.blogger.com/profile/04674868009127189799noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3810866519162452679.post-24123258039422580682013-07-27T05:43:00.003-07:002013-07-27T05:45:47.119-07:00สาระน่ารู้เกี่ยวกับ MPLS<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjnVuFUDVzQnUVMG39RPljWxoAgCX_6JlPGI3tJv3oaqzw-fg3yS-gPoho4_3JL7QlQsSJ3mFUUY6znuay6v-vWa678j4d2EAs7C18BEJwi0dmudF48lQj0ImW9cvBsb8YF7B65woOE1gE/s1600/mpls.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjnVuFUDVzQnUVMG39RPljWxoAgCX_6JlPGI3tJv3oaqzw-fg3yS-gPoho4_3JL7QlQsSJ3mFUUY6znuay6v-vWa678j4d2EAs7C18BEJwi0dmudF48lQj0ImW9cvBsb8YF7B65woOE1gE/s1600/mpls.jpg" /></a></div>
<br />
แม้จะฟังดูยากและอาจจะออกในแนวเทคนิคไปนิดแต่ Multiprotocol Label Switching (MPLS) สามารถช่วยให้การต่อเชื่อมระหว่างสำนักงานนั้นง่ายขึ้น, มีประสิทธิภาพมากขึ้น, และปลอดภัยมากยิ่งขึ้นเสียจนผู้ใช้บริการหลายต่อหลายคน ร้องขอให้มีการใช้งาน หรือองค์กรของท่าน อาจได้มีการใช้งานอยู่แล้วก็เป็นได้<br />
<br />
การให้บริการ MPLS นั้นนับเป็นหัวข้อในลำดับต้นๆ ของผู้ให้บริการโทรคมนาคมทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทยเรา ซึ่งเป็นการเพิ่มทางเลือกในการให้บริการแก่ลูกค้าระดับองค์กร และในทางกลับกันการใช้งาน MPLS ก็เป็นที่สนใจของหน่วยงานและองค์กรต่างๆ ทั้งนี้เนื่องจากการใช้บริการต่างๆ บนเครือข่ายของผู้ให้บริการที่เพิ่มขึ้น ก็เท่ากับการลดภาระในการดูแลระบบด้านไอทีภายในองค์กรลง<br />
<br />
ถ้าจะลองเปรียบเทียบการทำงานของ MPLS กับการส่งพัสดุ หรือการที่ท่านโหลดกระเป๋าสัมภาระขึ้นเครื่องบินนั้น เราทุกคนต้องการที่จะมั่นใจว่าสัมภาระหรือพัสดุของเรานั้น ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย ทันเวลา และอยู่ในสภาพที่ดีครบถ้วนเหมือนตอนที่ส่งไปจากเรา ทั้งนี้โดยมากแล้ว ก็จะมีการติดป้ายหรือสติกเกอร์ลงไปที่กล่องพัสดุ หรือกระเป๋าเราว่า “ห้ามทับ”, “ระวังแตก”, หรือ “ห้ามโยน” ซึ่งจะบอกกับทุกคนว่าต้องทำอย่างไรกับสิ่งของเหล่านั้น<br />
<br />
Multiprotocol Label Switching (MPLS) ก็มีการทำงานในรูปแบบเดียวกันกับข้อมูลต่างๆ ที่มีการส่งผ่านไปมาในระบบเครือข่าย โดยจะมีการติดเครื่องหมาย (Label) ให้กับแต่ละหน่วยข้อมูลที่เรียกว่าแพ็คเก็ท (Packet) เพื่อที่จะบอกอุปกรณ์เครือข่าย อย่างเช่นเราเตอร์และสวิสท์ ให้ทำการส่งข้อมูลไปในทิศทาง และรูปแบบที่กำหนดไว้ และสำหรับข้อมูลที่มีความสำคัญมาก ก็จะได้รับการส่งแบบพิเศษกว่าข้อมูลอื่นๆ<br />
<br />
ดังที่ได้กล่าวมาในขั้นต้นว่าผู้ให้บริการด้านสื่อสารโทรคมนาคม ต่างก็ให้ความสนใจในการติดตั้งระบบ MPLS ซึ่งจะช่วยเพิ่มรูปแบบการให้บริการแก่ลูกค้า และการที่ผู้ให้บริการโทรคมนาคม ต่างให้ความสนใจกับ MPLS นั้นเนื่องจากว่า มันสามารถทำให้ผู้ให้บริการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายเดียวที่พวกเขามีอยู่ ในการให้บริการที่หลากหลายแทนที่จะต้อง ลงทุนในการสร้างระบบเครือข่ายที่แยกจากกันหลายๆ ระบบ เพื่อตอบสนองต่อรูปแบบการให้บริการใหม่ๆ และยิ่งไปกว่านั้น ยังช่วยให้ผู้ให้บริการสามารถเสนอการใช้แอพพิเคชัน และรูปแบบการให้บริการที่มากขึ้นแก่ลูกค้า โดยผ่านโครงสร้างระบบเครือข่ายของผู้ให้บริการทั้งหมดได้ ซึ่งจะเป็นการลดต้นทุนด้านอุปกรณ์สำหรับลูกค้า และเพิ่มมูลค่าให้กับการให้บริการที่หลากหลายยิ่งขึ้น สำหรับผู้ให้บริการเอง<br />
<br />
MPLS สามารถให้ประโยชน์กับผู้ใช้งานได้เช่นเดียวกับผู้ให้บริการสื่อสารโทรคมนาคม ยิ่งถ้ามีการเพิ่มมูลค่าให้กับบริการที่ใช้งานอยู่บนเครือข่ายของผู้ให้บริการเพิ่มขึ้น ก็หมายความว่าภาระในการดูแลระบบเครือข่าย ของฝั่งผู้ใช้นั้นก็น้อยลงตามไปด้วย และจะเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้ได้มากยิ่งขึ้น เช่นถ้าผู้ให้บริการสร้างระบบเครือข่ายส่วนตัวเสมือน (Virtual Private Network, VPN) ที่มีการรับรองคุณภาพในการให้บริการ (Quality of Service) ผ่าน MPLS ในการให้บริการแก่ลูกค้านั้น จะทำให้ลูกค้ามีความมั่นใจในการใช้เครือข่ายในการสื่อสารทั้งภาพ เสียง และข้อมูล ผ่านระบบเครือข่ายเดียวกัน มากกว่าที่จะแยกการสื่อสารผ่านระบบเสียงและข้อมูลที่แยกจากกันเหมือนในอดีต สำหรับการใช้งาน MPLS ในปัจจุบันนั้น โดยมากจะใช้ควบคู่ไปกับเครือข่ายส่วนตัวเสมือน หรือ VPN ซึ่งผู้ใช้บริการที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย จากการเช่าสายวงจรสื่อสารที่เชื่อมต่อระหว่างสำนักงาน ก็สามารถมีทางเลือกใหม่ในการใช้ VPN ที่มีความปลอดภัยในการส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายสาธารณะ หรืออินเทอร์เน็ต ได้โดยที่ MPLS จะเข้ามาช่วยในการ ทำให้ VPN นั้นเป็นเครือข่ายขององค์กร ที่ทำงานอยู่บนระบบเครือข่ายของผู้ให้บริการ แทนที่จะต้องทำงานอยู่บนอุปกรณ์เครือข่ายของผู้ใช้ และด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้ MPLS-based VPN สามารถช่วยให้ลูกค้าประหยัดค่าใช้จ่ายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์กรที่มีสำนักงานสาขาหลายแห่ง และมีการส่งข้อมูลถึงกันในแต่ละสาขาโดยตรง<br />
<br />
ดูเหมือนกับว่า MPLS โดยทางเทคนิคแล้ว จะถูกสร้างมาเพื่อพัฒนา และก่อให้เกิดการใช้งานด้าน VPN ในองค์กรมากยิ่งขึ้น เพราะว่า MPLS-based VPN มีความคล่องตัว และสามารถขยายขนาดได้ง่ายกว่า VPN ชนิดอื่นๆ การสร้างและติด ตั้งการเชื่อมต่อ VPN ไปยังสำนักงานสาขาใหม่โดยใช้ MPLS นั้นมีความง่ายในการติดตั้งมากกว่าเทคโนโลยีอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การใช้งานในองค์กรขนาดใหญ่นอกจากนี้ MPLS ยังสามารถให้บริการผ่านโครงข่าย ATM (Asynchronous Transfer Mode) หรือโครงข่าย Frame Relay ได้ซึ่งทำให้การปรับเปลี่ยนเป็นไปได้อย่างง่ายดาย<br />
<br />
การให้บริการ MPLS นั้นค่อนข้างจะเป็นเรื่องใหม่ และแนวโน้มเมื่อมีการให้บริการเพิ่มมากขึ้น ก็จะทำให้อัตราค่าใช้บริการนั้นถูกลงในอนาคต ทั้งนี้เทคโนโลยี MPLS เพิ่งจะถูกใช้งานมาไม่ถึง 4 ปี และมีให้บริการแก่ผู้ใช้ประมาณหนึ่งปีที่ผ่านมานี้เอง โดยเทคโนโลยีนี้สามารถช่วยให้ผู้ใช้บีบอัดและส่งข้อมูลจำนวนมาก เข้าไปในแบนด์วิธ หรือ ช่องสัญญาณที่มีอยู่เดิมได้ ซึ่งส่งผลให้สามารถเลื่อน หรือผลัดผ่อนการขยายช่องสัญญาณ (แบนด์วิธ) ออกไปได้ และเมื่อใช้บริการระบบ MPLS ด้วยแล้ว จะช่วยให้สามารถทำการบริหารจัดการระบบเครือข่าย โดยลดความซับซ้อนลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง องค์กรที่ทำการบริหารจัดการการเชื่อมต่อ Frame Relay ด้วยตนเองจะยิ่งเห็นประโยชน์ได้อย่างชัดเจน<br />
<br />
แนวโน้มในการใช้บริการต่างๆ จากภายนอกองค์กร หรือที่เรียกว่า Outsourcing นั้นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อมีการใช้ งาน MPLS เราก็สามารถที่จะ Outsource การดูแลการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายให้กับผู้ให้บริการได้มากยิ่งขึ้น และในบริการด้านโทรคมนาคมต่างๆ นั้น MPLS VPN นับเป็นบริการที่ได้รับความสนใจมากที่สุด โดยเป็นบริการการเชื่อมต่อความเร็วสูง ให้กับผู้ใช้ที่อยู่นอกสำนักงานในระยะไกล ไม่ว่าจะอยู่ในระหว่างเดินทาง ทำงานจากสำนักงานของบริษัทคู่ค้า หรือจะเป็นการทำงานจากที่บ้าน โดยไม่ขึ้นอยู่กับโครงข่ายของผู้ให้บริการแอสเสสรายใด ขอเพียงแค่สามารถต่อเชื่อมสู่อินเทอร์เน็ตได้เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น DSL อีเทอร์เน็ต ไดอัล-อัพ หรือจะเป็นเคเบิลโมเด็ม<br />
<br />
บริษัทและองค์กรควรจะมอง MPLS ในมุมของการใช้งานในภาพรวมของแผนพัฒนาระบบเครือข่าย ทั้งนี้เนื่องจากว่า เทคโนโลยีและแนวโน้มการใช้งานใหม่ๆ อย่างเช่น MPLS, IPv6, ระบบแลนไร้สาย 802.11, และ IP Mobility ล้วนแล้ว แต่ได้รับการพัฒนาโดยหน่วยงานด้านมาตรฐานต่างๆ และมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่บุคลากรด้านไอที ต้องเรียนรู้และพัฒนาแผนการดำเนินการ ให้มีความสอดคล้องกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ได้กล่าวมาด้วยเหตุผลที่ว่า เทคโนโลยีใหม่เหล่านี้จะมีส่วนอย่างมาก ในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสถาปัตยกรรมเครือข่ายขององค์กร ที่จะมีการใช้งานทั้งในปัจจุบัน และในอนาคต<br />
<br />
<br />
INFO: <a href="http://www.cisco.com/web/TH/technology/mpls.html">http://www.cisco.com/web/TH/technology/mpls.html</a>somjeedhttp://www.blogger.com/profile/04674868009127189799noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3810866519162452679.post-69574018064304213072013-03-09T00:39:00.003-08:002013-03-09T00:39:26.245-08:00การเมืองการปกครอง<b>การเมือง</b><br />
ความหมาย การเมือง (politic) มาจากคำภาษากรีก "polis" แปลว่า "รัฐ" หรือ "ชุมชนทางการเมือง" มีนักวิชาการหลายท่านให้ความหมายไว้หลากหลายต่างกัน ขึ้นอยู่กับทัศนะ และความเข้าใจของนักวิชาการแต่ละท่าน<br />
<br />
<b>เพลโต </b>(Plato) นักปราชญ์ชาวกรีก ให้ความหมายของการเมืองว่า "เป็นกิจกรรมที่แสวงหาความยุติธรรม และเพื่อการดำรงชีวิตที่ดีของสังคม"<br />
<br />
<b>อริสโตเติล </b>(Aristotle) บิดาแห่งวิชารัฐศาสตร์ ให้ความหมายไว้ว่า "การเมือง" หมายถึงการใช้อำนาจหน้าที่เพื่อสาธารณประโยชน์<br />
<br />
<b>ฮาโรลด์ ลาสเวลล์</b> (Harold Lasswell) กล่าวไว้ว่า "การเมืองเป็นเรื่องของการใช้อำนาจหน้าที่เพื่อจัดสรรสิ่งที่มีคุณค่าในสังคม<br />
<br />
<b>กิจกรรมที่เรียกว่าการเมืองเกี่ยวข้องกับเรื่องต่างๆ ดังนี้ </b><br />
1. เกี่ยวข้องกับมหาชน มีผลกระทบกับคนจำนวนมาก<br />
2. เกี่ยวข้องกับรัฐ<br />
3. เกี่ยวข้องกับนโยบายสาธารณะ<br />
<br />
<b>ขอบข่ายและธรรมชาติของการเมือง</b><br />
โรเบิร์ต เอ ดาห์ล (Robert A. Dahl) ให้คำอธิบายถึงธรรมชาติของการเมืองไว้ ดังนี้<br />
1. การเมืองเป็นเรื่องที่ต้องสัมพันธ์กับเรื่องอื่นๆ ในสังคม<br />
2. การเมืองเป็นกิจกรรมหนึ่งของมนุษย์ในสังคมที่ไม่อาจหลีกหนีได้<br />
3. การเมืองเป็นเรื่องของการปกครอง กลุ่มอำนาจการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ<br />
<br />
<b>ความสำคัญของการเมือง</b><br />
1. การเมืองเป็นวิถีชีวิตแบบหนึ่งของมนุษย์ในรัฐ<br />
2. มนุษย์ภายในรัฐไม่อาจหลีกหนีให้พ้นจากผลกระทบทางการเมืองได้<br />
3. กิจกรรมทางการเมือง จะนำไปสู่การใช้อำนาจทางการเมือง การปกครองเพื่อออกกฎหมายพัฒนาประเทศ รวมทั้งการแก้ปัญหาของประเทศ<br />
<br />
<b>ความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองกับเศรษฐกิจและสังคมไทย</b><br />
<b>1. ความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองกับเศรษฐกิจ</b><br />
การเมืองเป็นแบบแผนของความสัมพันธืระหว่างมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับอำนาจการปกครอง และการใช้อำนาจและเศรษฐกิจเป็นเรื่องของการผลิต การจำหน่ายจ่ายแจกทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด ให้แก่สาธารณชนเพื่อความสมบูรณ์พูนสุขแก่ส่วมรวม นักเศรษฐศาสตร์ยอมรับว่าความเจริญทางเศรษฐกิจมีอิทธิพลต่อระบอบการเมืองของแต่ละสังคมเป็นอย่างยิ่ง อริสโตเติลมีความเห็นว่า เสถียรภาพทางการเมืองขึ้นอยู่กับสภาวะทางเศรษฐกิจมาก และได้เสนอรูปแบบการปกครองที่ดีที่สุดคือ รูปแบบที่เรียกว่า "มัชฌิมวิถีอธิปไตย" หรือ "Polity" คือรูปแบบการปกครองที่มีชนชั้นกลางอยู่ในสังคมจำนวนมาก เศรษฐกิจกับการเมืองเป็นสิ่งที่เกี่ยวพันกันอย่างแยกไม่ออก คือ ทั้งการเมืองและเศรษฐกิจต่างก็มีอิทธิพลต่อกันดังนี้<br />
(1) เศรษฐกิจมีอิทธิพลต่อการเมือง ดังเช่นทัศนะของอริสโตเติล ที่กล่าวถึงสภาวะทางการเมืองซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยทางเศรษฐกิจ ดังกล่าวมาแล้วในเรื่องของมัชฌิมวิถีอธิปไตย (Polity)<br />
(2) การเมืองมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจ คือ นโยบายทางการเมืองย่อมมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ดังจะเห็นได้จากแนวนโยบาย หรืออุดมการณ์ของผู้ที่มีอำนาจปกครองนำมาใช้อยู่ 2 แนวทางกว้างๆ คือ แนวแรก ได้แก่ การปล่อยเสรี (Laissez-faire) กับแนวที่สอง คือ อยู่ใต้การควบคุมดูแลโดยรัฐ<br />
<br />
<b>2. การเมืองกับสังคม</b><br />
มนุษย์เป็นสมาชิกของสังคม กิจกรรมหรือความสัมพันธ์ของมนุษย์ การรวมกลุ่มของมนุษย์ทั้งหมดถือเป็นกิจกรรมทางสังคม และถือเป็นหลักธรรมดาที่ในสังคมมนุษย์จะต้องมีความขัดแย้งเกิดขึ้นเสมอ ความขัดแย้งนี้เกิดขึ้นเพราะการฉกฉวยแย่งชิงสิ่งที่มีคุณค่าของสังคม ในระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง และเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่ในทัศนะตรงกันข้าม การเมืองไม่จำเป็นต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความขัดแย้งเพียงอย่างเดียว แต่อาจจะเป็นไปในรูปของความร่วมมือสมานฉันท์สร้างสรรค์สังคมกันไว้ได้ กล่าวคือประชาชนบรรลุเป้าหมายนั้นด้วยดี การเมืองมีความสัมพันธ์กันกับการควบคุมและการระงับความขัดแย้งภายในสังคม การกำหนดเป้าหมายร่วมกันและการดำเนินการต่างๆ ร่วมกัน ซึ่งเป็นส่วนรวมหรือที่เรียกว่า "กิจกรรมสาธารณะ" (Public Affair)<br />
<br />
<b>รัฐ ชาติ ประเทศ</b><br />
ความหมายของรัฐ ชาติ ประเทศ<br />
<b>"รัฐ"</b> หมายถึง ชุมชนทางการเมืองของมนุษย์ อันประกอบด้วยดินแดนที่มีขอบเขตแน่นอน มีประชากรอาศัยอยู่ในจำนวนที่เหมาะสม โดยมีรัฐบาลปกครองและมีอำนาจอธิปไตยของตัวเอง<br />
<br />
<b>"ชาติ"</b> หมายถึง ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในทางวัฒนธรรม และมีความผูกพันกันในทางสายโลหิต เผ่าพันธุ์ ภาษา ศาสนา วัฒนธรรม ตลอดจนมีประสบการณ์ทางประวัติศาสตร์ร่วมกัน หรือมีวิวัฒนาการทางการเมืองการปกครองร่วมกัน เช่นคำว่า "ชาติไทย"<br />
<br />
<b>"ประเทศ" </b>ความหมายกว้าง หมายรวมถึงดินแดนที่มีฐานะเป็นรัฐหรือไม่มีฐานะเป็นรัฐ แต่โดยสรุปแล้ว คำว่า "ประเทศ" ตามกฎหมายระหว่างประเทศ หมายถึง ดินแดน อาณาเขต และสภาพภูมิศาสตร์ เป็นต้นว่าความอุดมสมบูรณ์ ดินฟ้าอากาศ แม่น้ำภูเขา ทะเล ป่าไม้ ฯลฯ เช่น ประเทศไทย<br />
<br />
<b>องค์ประกอบของรัฐ</b><br />
1. ประชากร (Population) หมายถึง มนุษย์ทุกคนที่อยู่ในอาณาเขตของรัฐถือว่า มีฐานะเป็นส่วนของรัฐโดยอัตโนมัติ สิ่งที่ต้องพิจารณาเกี่ยวกับประชากร ก็คือ<br />
(1) จำนวนประชากรแต่ละรัฐมีประชากรจำนวนเท่าใด ไม่มีการกำหนดที่แน่นอนแต่ควรจะมีมากพอ ที่จะกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองและผู้อยู่ใต้ปกครองได้<br />
(2) ลักษณะของประชากร หมายถึง ลักษณะทางด้านเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา และวัฒนธรรม ซึ่งไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน เพราะมีหลายรัฐที่ประกอบด้วยคนหลายเชื้อชาติ ภาษา และวัฒนธรรม<br />
(3) คุณภาพของประชากร ขึ้นอยู่กับการศึกษา สุขภาพ อนามัย ทัศนะคติ และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการพัฒนาทุกรูปแบบ<br />
<br />
2. ดินแดน (Teritory) มีข้อสังเกต ดังนี้<br />
(1) ที่ตั้ง ดินแดนของรัฐ หมายถึง อาณาเขตพื้นดิน น่านน้ำ อาณาเขตในท้องทะเล น่านฟ้า บริเวณใต้พื้นดิน พื้นน้ำ และพื้นทะเล<br />
(2) ขนาดของดินแดน ไม่มีหลักเกณฑ์ไว้แน่นอนตายตัวว่า จะต้องมีขนาดเท่าใด จึงจะถือว่าเป็นรัฐ แต่ควรจะมีความเหมาะสมกับจำนวนประชากรด้วย<br />
<br />
3. รัฐบาล (Government) คือ องค์กร หรือหน่วยงานที่ทำหน้าที่ปกครอง และบริหารภายในโดยเป็นผู้กำหนดนโยบายและนำนโยบายไปปฎิบัติ เพื่อจัดระเบียบทางสังคมและดำเนินทุกอย่างเพื่อรักษาผลประโยชน์ของรัฐ รัฐบาลจึงเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองรัฐ<br />
<br />
4. อำนาจอธิปไตย (Sovereignty) เป็นองค์ประกอบประการสุดท้ายที่สำคัญของรัฐ อำนาจอธิปไตย คือ อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ อำนาจอธิปไตยมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ<br />
(1) อำนาจอธิปไตยภายใน (Internal Sovereignty) หมายถึง การที่มีอำนาจที่จะปกครองตนเอง และมีอำนาจสูงสุดที่จะดำเนินการใดๆ ในประเทศอย่างมีอิสระ ปราศจากการควบคุมจากรัฐอื่น<br />
(2) อำนาจอธิปไรยภายนอก (External Sovereignty) หมายถึง การมีอิสระมีเอกราช สามารถจะดำเนินความสัมพันธ์กับประเทศอื่นๆ หรือกล่าวกันอีกอย่างหนึ่งว่า เอกราช ก็คืออำนาจอธิปไตยภายนอกนั้นเอง<br />
<br />
องค์ประกอบของรัฐทั้ง 4 ประการนี้ มีความสำคัญเท่าเทียมกัน ถ้ารัฐใดขาดองค์ประกอบในข้อหนึ่งแม้เพียงองค์ประกอบเดียวก็ตาม ถือว่าขาดคุณสมบัติของความเป็นรัฐโดยสิ้นเชิง<br />
<br />
<b>จุดประสงค์ของรัฐ</b><br />
1.สร้างความเป็นระเบียบ<br />
2.การส่งเสริมสวัสดิภาพแก่ประชาชน<br />
3.การส่งเสริมสวัสดิการแก่ส่วนรวม<br />
4.การส่งเสริมคุณธรรม<br />
<br />
<b>หน้าที่ของรัฐ</b><br />
1.การรักษาความสงบเรียบร้อย และความมั่นคงภายใน<br />
2.การให้บริการและสวัสดิการทางสังคม<br />
3.การพัฒนาประเทศ<br />
4.การป้องกันการรุกรานจากภายนอก<br />
<br />
<b> รูปแบบของรัฐ (Forms of State)</b><br />
1. รัฐเดี่ยว (Unitary State) คือ รัฐที่มีรัฐบาลกลางเป็นผู้มีอำนาจปกครอง และอำนาจบริหารสูงสุดเพียงองค์กรเดียว รัฐบาลกลางเป็นผู้ที่ใช้อำนาจอธิปไตยทั้ง 3 อำนาจ คือ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ รัฐบาลเป็นองค์กรกลางองค์กรเดียวของรัฐที่ปกครองประชาชนได้โดยตลอด รวมถึงการติดต่อสัมพันธ์กับต่างประเทศด้วย ตัวอย่างรัฐเดี่ยว ได้แก่ อังกฤษ ญี่ปุ่น และไทย เป็นต้น<br />
<br />
2. รัฐรวม (Composit State) ได้แก่ การรวมตัวกันของรัฐ ตั้งแต่ 2 รัฐขึ้นไป โดยมีรัฐบาลเดียวกัน ซึ่งแต่ละรัฐยังคงมีสภาพเป็นรัฐอยู่เช่นเดิม แต่การใช้อำนาจอธิปไตยของรัฐ ที่มารวมกันอาจถูกจำกัดลงไปตามข้อตกลงที่ทำขึ้น รัฐรวมมีอยู่ 2 ประเภทด้วยกันคือ<br />
(1) สหพันธรัฐ (Federal State) สหพันธรัฐ คือ รัฐที่่เกิดขึ้นจากการรวมตัวกันระหว่างรัฐต่างๆ ตั้งแต่ 2 รัฐขึ้นไปโดยใช้รัฐธรรมนูญฉบับเดียวกันร่วมกัน และความสัมพันธ์เป็น 2 ระดับ คือ มีรัฐบาลกลางของสหพันธรัฐ และรัฐบาลท้องถิ่นเป็นของแต่ละรัฐ ซึ่งเรียกกันว่า "มลรัฐ" ตัวอย่างเช่น สหรัฐอเมริกา อินเดีย มาเลเซีย<br />
(2) สมาพันธรัฐ (Confederation State) สมาพันธรัฐเป็นการรวมตัวกัน ระหว่าง 2 รัฐขึ้นไปโดยไม่มีรัฐธรรมนูญ หรือรัฐบาลร่วมกัน แต่เป็นการรวมตัวกัน อย่างหลวมๆ เพื่อจุดมุ่งหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นการชั่วคราวและเป็นบางกรณีเท่านั้น เช่น การเป็นพันธมิตรกันเพื่อทำสงครามร่วมกัน เป็นต้น ในปัจจุบันนี้รูปแบบของรัฐแบบสมาพันธรัฐ ไม่มีอีกแล้วแต่จะกลายเป็นลักษณะของการรวมตัวกันในรูปขององค์กรระหว่างประเทศ เช่น องค์การนาโต้ องค์การอาเซียน เป็นต้น<br />
<br />
<b>ระบอบการเมืองการปกครองที่สำคัญ</b><br />
<b>ระบอบประชาธิปไตย</b><br />
เป็นระบอบการปกครองที่มีหลักการ และความมุ่งหมายที่ผูกพันอยู่กับประชาชนโดยประชาชน และเพื่อประชาชน ระบอบประชาธิปไตย แบ่งออกเป้น 2 แบบ คือ แบบที่มี พระมหากษัตริย์เป็นประมุข กับแบบที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุข แบบแรก คือแบบที่ใช้อยู่ในประเทศอังกฤษ ญี่ปุ่น และไทย แบบที่ 2 คือแบบที่ใช้อยู่ในประเทศอินเดีย ฝรั่งเศล และอเมริกา<br />
<br />
<b>หลักการสำคัญของระบอบประชาธิปไตย มีดังต่อไปนี้คือ</b><br />
1. อำนาจอธิปไตย หรืออำนาจสูงสุดสในการปกครองประเทศ หรือเรียกว่าอำนาจของรัฐ (State Power) เป็นอำนาจหน้าที่มาจากประชาชน และผู้ที่จะได้อำนาจปกครองจะต้องได้รับความเห็นชอบจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ<br />
<br />
2. ประชาชนมีสิทธิที่จะมอบอำนาจการปกครองให้แก่ประชาชนด้วยกันเอง โดยการออกเสียงเลือกตั้งบุคคลกลุ่มหนึ่งขึ้นมาเป็นผู้บริหารประเทศ ตามระยะเวลาและวิธีการที่กำหนดไว้ เช่น ทุก 4 ปี จะมีการออกเสียงเลือกตั้งผู้แทนของประชาชนพร้องกันทั่วประเทศ<br />
<br />
3. รัฐบาล จะต้องเคารพสิทธิและเสรีภาพมูลฐานของประชาชน เช่น สิทธิเสรีภาพในทรัพย์สิน และการแสดงวความคิดเห็น การรวมกลุ่ม เป็นต้น โดยรัฐบาลจะต้องไม่ละเมิดสิทธิเหล่านี้ เว้นแต่เพื่อรักษาความมั่งคงของชาติ หรือเพื่อสร้างสรรค์ ความเป็นธรรมแก่สังคมเท่านั้น<br />
<br />
4. ประชาชนทุกคนมีสิทธิเสมอภาคกัน ในการที่จะได้รับบริการทุกชนิดที่รัฐจัดให้แก่ประชาชน<br />
<br />
5. รัฐบาลถือกฎหมายและความเป็นธรรมเป็นบรรทัดฐาน ในการปกครองและในการแก้ปัญหาความขัดแย้งต่างๆ เพื่อความสงบสุขของประชาชน<br />
<br />
<b>ระบอบเผด็จการ</b><br />
ระบอบเผด็จการ คือ ระบอบการเมืองการปกครองที่โอกาสในการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ตกลงใจถูกจำกัดอยู่ในบุุคคลเพียงคนเดียวหรือสองสามคน กล่าวคือ จะใช้โอกาสในการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ โดยใช้อำนาจที่ตนมีอยู่ปิดกั้นการแสดงออกของประชาชน หากประชาชนคัดค้านก็จะถูกผู้นำหรือคณะบุคคลลงโทษ<br />
<br />
<b>หลักการสำคัญของระบอบเผด็จการ มีดัวนี้</b><br />
1.ผู้นำคนเดียว หรือคณะผู้นำของกองทัพ หรือของพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียว กลุ่มเดียว มีอำนาจสูงสุดในการปกครอง สามารถใช้อำนาจนั้นได้อย่างเต็มที่โดยไม่ฟังเสียงคนส่วนใหญ่ของประเทศ<br />
<br />
2.การรักษาความมั่นคงของผู้นำหรือคณะผู้นำ มีความสำคัญกว่าการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน ประชาชนไม่สามารถที่จะวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของผู้นำได้เลย<br />
<br />
3.ผู้นำหรือคณะผู้นำ สามารถจะอยู่ในอำนาจได้ตลอดชีวิต ตราบเท่าที่กลุ่มผู้ร่วมงานหรือกองทัพยังให้ความสนับสนุนอยู่ ประชาชนทั่วไปไม่มีสิทธิที่จะเปลี่ยนผู้นำได้โดยวิถีทางรัฐธรรมนูญ<br />
<br />
4.รัฐธรรมนูญ หรือการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จัดตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญและรัฐสภา ไม่มีความสำคัญต่อกระบวนการทางการปกครองเหมือนในระบอบประชาธิปไตย กล่าวคือ รัฐธรรมนูญเป็นแต่เพียงรากฐานรองรับอำนาจของผู้นำหรือคณะผู้นำเท่านั้น ไม่ใช่ตัวแทนของประชาชนอย่างแท้จริง<br />
<br />
ระบบเผด็จการมี 3 แบบ คือ เผด็จการทหาร เผด็จการฟาสซิสต์ และเผด็จการคอมมิวนิสต์ somjeedhttp://www.blogger.com/profile/04674868009127189799noreply@blogger.com0