วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

สาระน่ารู้เกี่ยวกับ MPLS


แม้จะฟังดูยากและอาจจะออกในแนวเทคนิคไปนิดแต่ Multiprotocol Label Switching (MPLS) สามารถช่วยให้การต่อเชื่อมระหว่างสำนักงานนั้นง่ายขึ้น, มีประสิทธิภาพมากขึ้น, และปลอดภัยมากยิ่งขึ้นเสียจนผู้ใช้บริการหลายต่อหลายคน ร้องขอให้มีการใช้งาน หรือองค์กรของท่าน อาจได้มีการใช้งานอยู่แล้วก็เป็นได้

การให้บริการ MPLS นั้นนับเป็นหัวข้อในลำดับต้นๆ ของผู้ให้บริการโทรคมนาคมทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทยเรา ซึ่งเป็นการเพิ่มทางเลือกในการให้บริการแก่ลูกค้าระดับองค์กร และในทางกลับกันการใช้งาน MPLS ก็เป็นที่สนใจของหน่วยงานและองค์กรต่างๆ ทั้งนี้เนื่องจากการใช้บริการต่างๆ บนเครือข่ายของผู้ให้บริการที่เพิ่มขึ้น ก็เท่ากับการลดภาระในการดูแลระบบด้านไอทีภายในองค์กรลง

ถ้าจะลองเปรียบเทียบการทำงานของ MPLS กับการส่งพัสดุ หรือการที่ท่านโหลดกระเป๋าสัมภาระขึ้นเครื่องบินนั้น เราทุกคนต้องการที่จะมั่นใจว่าสัมภาระหรือพัสดุของเรานั้น ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย ทันเวลา และอยู่ในสภาพที่ดีครบถ้วนเหมือนตอนที่ส่งไปจากเรา ทั้งนี้โดยมากแล้ว ก็จะมีการติดป้ายหรือสติกเกอร์ลงไปที่กล่องพัสดุ หรือกระเป๋าเราว่า “ห้ามทับ”, “ระวังแตก”, หรือ “ห้ามโยน” ซึ่งจะบอกกับทุกคนว่าต้องทำอย่างไรกับสิ่งของเหล่านั้น

Multiprotocol Label Switching (MPLS) ก็มีการทำงานในรูปแบบเดียวกันกับข้อมูลต่างๆ ที่มีการส่งผ่านไปมาในระบบเครือข่าย โดยจะมีการติดเครื่องหมาย (Label) ให้กับแต่ละหน่วยข้อมูลที่เรียกว่าแพ็คเก็ท (Packet) เพื่อที่จะบอกอุปกรณ์เครือข่าย อย่างเช่นเราเตอร์และสวิสท์ ให้ทำการส่งข้อมูลไปในทิศทาง และรูปแบบที่กำหนดไว้ และสำหรับข้อมูลที่มีความสำคัญมาก ก็จะได้รับการส่งแบบพิเศษกว่าข้อมูลอื่นๆ

ดังที่ได้กล่าวมาในขั้นต้นว่าผู้ให้บริการด้านสื่อสารโทรคมนาคม ต่างก็ให้ความสนใจในการติดตั้งระบบ MPLS ซึ่งจะช่วยเพิ่มรูปแบบการให้บริการแก่ลูกค้า และการที่ผู้ให้บริการโทรคมนาคม ต่างให้ความสนใจกับ MPLS นั้นเนื่องจากว่า มันสามารถทำให้ผู้ให้บริการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายเดียวที่พวกเขามีอยู่ ในการให้บริการที่หลากหลายแทนที่จะต้อง ลงทุนในการสร้างระบบเครือข่ายที่แยกจากกันหลายๆ ระบบ เพื่อตอบสนองต่อรูปแบบการให้บริการใหม่ๆ และยิ่งไปกว่านั้น ยังช่วยให้ผู้ให้บริการสามารถเสนอการใช้แอพพิเคชัน และรูปแบบการให้บริการที่มากขึ้นแก่ลูกค้า โดยผ่านโครงสร้างระบบเครือข่ายของผู้ให้บริการทั้งหมดได้ ซึ่งจะเป็นการลดต้นทุนด้านอุปกรณ์สำหรับลูกค้า และเพิ่มมูลค่าให้กับการให้บริการที่หลากหลายยิ่งขึ้น สำหรับผู้ให้บริการเอง

MPLS สามารถให้ประโยชน์กับผู้ใช้งานได้เช่นเดียวกับผู้ให้บริการสื่อสารโทรคมนาคม ยิ่งถ้ามีการเพิ่มมูลค่าให้กับบริการที่ใช้งานอยู่บนเครือข่ายของผู้ให้บริการเพิ่มขึ้น ก็หมายความว่าภาระในการดูแลระบบเครือข่าย ของฝั่งผู้ใช้นั้นก็น้อยลงตามไปด้วย และจะเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้ได้มากยิ่งขึ้น เช่นถ้าผู้ให้บริการสร้างระบบเครือข่ายส่วนตัวเสมือน (Virtual Private Network, VPN) ที่มีการรับรองคุณภาพในการให้บริการ (Quality of Service) ผ่าน MPLS ในการให้บริการแก่ลูกค้านั้น จะทำให้ลูกค้ามีความมั่นใจในการใช้เครือข่ายในการสื่อสารทั้งภาพ เสียง และข้อมูล ผ่านระบบเครือข่ายเดียวกัน มากกว่าที่จะแยกการสื่อสารผ่านระบบเสียงและข้อมูลที่แยกจากกันเหมือนในอดีต สำหรับการใช้งาน MPLS ในปัจจุบันนั้น โดยมากจะใช้ควบคู่ไปกับเครือข่ายส่วนตัวเสมือน หรือ VPN ซึ่งผู้ใช้บริการที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย จากการเช่าสายวงจรสื่อสารที่เชื่อมต่อระหว่างสำนักงาน ก็สามารถมีทางเลือกใหม่ในการใช้ VPN ที่มีความปลอดภัยในการส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายสาธารณะ หรืออินเทอร์เน็ต ได้โดยที่ MPLS จะเข้ามาช่วยในการ ทำให้ VPN นั้นเป็นเครือข่ายขององค์กร ที่ทำงานอยู่บนระบบเครือข่ายของผู้ให้บริการ แทนที่จะต้องทำงานอยู่บนอุปกรณ์เครือข่ายของผู้ใช้ และด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้ MPLS-based VPN สามารถช่วยให้ลูกค้าประหยัดค่าใช้จ่ายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์กรที่มีสำนักงานสาขาหลายแห่ง และมีการส่งข้อมูลถึงกันในแต่ละสาขาโดยตรง

ดูเหมือนกับว่า MPLS โดยทางเทคนิคแล้ว จะถูกสร้างมาเพื่อพัฒนา และก่อให้เกิดการใช้งานด้าน VPN ในองค์กรมากยิ่งขึ้น เพราะว่า MPLS-based VPN มีความคล่องตัว และสามารถขยายขนาดได้ง่ายกว่า VPN ชนิดอื่นๆ การสร้างและติด ตั้งการเชื่อมต่อ VPN ไปยังสำนักงานสาขาใหม่โดยใช้ MPLS นั้นมีความง่ายในการติดตั้งมากกว่าเทคโนโลยีอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การใช้งานในองค์กรขนาดใหญ่นอกจากนี้ MPLS ยังสามารถให้บริการผ่านโครงข่าย ATM (Asynchronous Transfer Mode) หรือโครงข่าย Frame Relay ได้ซึ่งทำให้การปรับเปลี่ยนเป็นไปได้อย่างง่ายดาย

การให้บริการ MPLS นั้นค่อนข้างจะเป็นเรื่องใหม่ และแนวโน้มเมื่อมีการให้บริการเพิ่มมากขึ้น ก็จะทำให้อัตราค่าใช้บริการนั้นถูกลงในอนาคต ทั้งนี้เทคโนโลยี MPLS เพิ่งจะถูกใช้งานมาไม่ถึง 4 ปี และมีให้บริการแก่ผู้ใช้ประมาณหนึ่งปีที่ผ่านมานี้เอง โดยเทคโนโลยีนี้สามารถช่วยให้ผู้ใช้บีบอัดและส่งข้อมูลจำนวนมาก เข้าไปในแบนด์วิธ หรือ ช่องสัญญาณที่มีอยู่เดิมได้ ซึ่งส่งผลให้สามารถเลื่อน หรือผลัดผ่อนการขยายช่องสัญญาณ (แบนด์วิธ) ออกไปได้ และเมื่อใช้บริการระบบ MPLS ด้วยแล้ว จะช่วยให้สามารถทำการบริหารจัดการระบบเครือข่าย โดยลดความซับซ้อนลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง องค์กรที่ทำการบริหารจัดการการเชื่อมต่อ Frame Relay ด้วยตนเองจะยิ่งเห็นประโยชน์ได้อย่างชัดเจน

แนวโน้มในการใช้บริการต่างๆ จากภายนอกองค์กร หรือที่เรียกว่า Outsourcing นั้นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อมีการใช้ งาน MPLS เราก็สามารถที่จะ Outsource การดูแลการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายให้กับผู้ให้บริการได้มากยิ่งขึ้น และในบริการด้านโทรคมนาคมต่างๆ นั้น MPLS VPN นับเป็นบริการที่ได้รับความสนใจมากที่สุด โดยเป็นบริการการเชื่อมต่อความเร็วสูง ให้กับผู้ใช้ที่อยู่นอกสำนักงานในระยะไกล ไม่ว่าจะอยู่ในระหว่างเดินทาง ทำงานจากสำนักงานของบริษัทคู่ค้า หรือจะเป็นการทำงานจากที่บ้าน โดยไม่ขึ้นอยู่กับโครงข่ายของผู้ให้บริการแอสเสสรายใด ขอเพียงแค่สามารถต่อเชื่อมสู่อินเทอร์เน็ตได้เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น DSL อีเทอร์เน็ต ไดอัล-อัพ หรือจะเป็นเคเบิลโมเด็ม

บริษัทและองค์กรควรจะมอง MPLS ในมุมของการใช้งานในภาพรวมของแผนพัฒนาระบบเครือข่าย ทั้งนี้เนื่องจากว่า เทคโนโลยีและแนวโน้มการใช้งานใหม่ๆ อย่างเช่น MPLS, IPv6, ระบบแลนไร้สาย 802.11, และ IP Mobility ล้วนแล้ว แต่ได้รับการพัฒนาโดยหน่วยงานด้านมาตรฐานต่างๆ และมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่บุคลากรด้านไอที ต้องเรียนรู้และพัฒนาแผนการดำเนินการ ให้มีความสอดคล้องกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ได้กล่าวมาด้วยเหตุผลที่ว่า เทคโนโลยีใหม่เหล่านี้จะมีส่วนอย่างมาก ในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสถาปัตยกรรมเครือข่ายขององค์กร ที่จะมีการใช้งานทั้งในปัจจุบัน และในอนาคต


INFO: http://www.cisco.com/web/TH/technology/mpls.html