วันเสาร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2556

การเมืองการปกครอง

การเมือง
ความหมาย การเมือง (politic) มาจากคำภาษากรีก "polis" แปลว่า "รัฐ" หรือ "ชุมชนทางการเมือง" มีนักวิชาการหลายท่านให้ความหมายไว้หลากหลายต่างกัน ขึ้นอยู่กับทัศนะ และความเข้าใจของนักวิชาการแต่ละท่าน

เพลโต (Plato) นักปราชญ์ชาวกรีก ให้ความหมายของการเมืองว่า "เป็นกิจกรรมที่แสวงหาความยุติธรรม และเพื่อการดำรงชีวิตที่ดีของสังคม"

อริสโตเติล (Aristotle) บิดาแห่งวิชารัฐศาสตร์ ให้ความหมายไว้ว่า "การเมือง" หมายถึงการใช้อำนาจหน้าที่เพื่อสาธารณประโยชน์

ฮาโรลด์ ลาสเวลล์ (Harold Lasswell) กล่าวไว้ว่า "การเมืองเป็นเรื่องของการใช้อำนาจหน้าที่เพื่อจัดสรรสิ่งที่มีคุณค่าในสังคม

กิจกรรมที่เรียกว่าการเมืองเกี่ยวข้องกับเรื่องต่างๆ ดังนี้ 
1. เกี่ยวข้องกับมหาชน มีผลกระทบกับคนจำนวนมาก
2. เกี่ยวข้องกับรัฐ
3. เกี่ยวข้องกับนโยบายสาธารณะ

ขอบข่ายและธรรมชาติของการเมือง
โรเบิร์ต เอ ดาห์ล (Robert A. Dahl) ให้คำอธิบายถึงธรรมชาติของการเมืองไว้ ดังนี้
1. การเมืองเป็นเรื่องที่ต้องสัมพันธ์กับเรื่องอื่นๆ ในสังคม
2. การเมืองเป็นกิจกรรมหนึ่งของมนุษย์ในสังคมที่ไม่อาจหลีกหนีได้
3. การเมืองเป็นเรื่องของการปกครอง กลุ่มอำนาจการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ

ความสำคัญของการเมือง
1. การเมืองเป็นวิถีชีวิตแบบหนึ่งของมนุษย์ในรัฐ
2. มนุษย์ภายในรัฐไม่อาจหลีกหนีให้พ้นจากผลกระทบทางการเมืองได้
3. กิจกรรมทางการเมือง จะนำไปสู่การใช้อำนาจทางการเมือง การปกครองเพื่อออกกฎหมายพัฒนาประเทศ รวมทั้งการแก้ปัญหาของประเทศ

ความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองกับเศรษฐกิจและสังคมไทย
1. ความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองกับเศรษฐกิจ
 การเมืองเป็นแบบแผนของความสัมพันธืระหว่างมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับอำนาจการปกครอง และการใช้อำนาจและเศรษฐกิจเป็นเรื่องของการผลิต การจำหน่ายจ่ายแจกทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด ให้แก่สาธารณชนเพื่อความสมบูรณ์พูนสุขแก่ส่วมรวม นักเศรษฐศาสตร์ยอมรับว่าความเจริญทางเศรษฐกิจมีอิทธิพลต่อระบอบการเมืองของแต่ละสังคมเป็นอย่างยิ่ง อริสโตเติลมีความเห็นว่า เสถียรภาพทางการเมืองขึ้นอยู่กับสภาวะทางเศรษฐกิจมาก และได้เสนอรูปแบบการปกครองที่ดีที่สุดคือ รูปแบบที่เรียกว่า "มัชฌิมวิถีอธิปไตย" หรือ "Polity" คือรูปแบบการปกครองที่มีชนชั้นกลางอยู่ในสังคมจำนวนมาก เศรษฐกิจกับการเมืองเป็นสิ่งที่เกี่ยวพันกันอย่างแยกไม่ออก คือ ทั้งการเมืองและเศรษฐกิจต่างก็มีอิทธิพลต่อกันดังนี้
(1) เศรษฐกิจมีอิทธิพลต่อการเมือง ดังเช่นทัศนะของอริสโตเติล ที่กล่าวถึงสภาวะทางการเมืองซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยทางเศรษฐกิจ ดังกล่าวมาแล้วในเรื่องของมัชฌิมวิถีอธิปไตย (Polity)
(2) การเมืองมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจ คือ นโยบายทางการเมืองย่อมมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ดังจะเห็นได้จากแนวนโยบาย หรืออุดมการณ์ของผู้ที่มีอำนาจปกครองนำมาใช้อยู่ 2 แนวทางกว้างๆ คือ แนวแรก ได้แก่ การปล่อยเสรี (Laissez-faire) กับแนวที่สอง คือ อยู่ใต้การควบคุมดูแลโดยรัฐ

 2. การเมืองกับสังคม
มนุษย์เป็นสมาชิกของสังคม กิจกรรมหรือความสัมพันธ์ของมนุษย์ การรวมกลุ่มของมนุษย์ทั้งหมดถือเป็นกิจกรรมทางสังคม และถือเป็นหลักธรรมดาที่ในสังคมมนุษย์จะต้องมีความขัดแย้งเกิดขึ้นเสมอ ความขัดแย้งนี้เกิดขึ้นเพราะการฉกฉวยแย่งชิงสิ่งที่มีคุณค่าของสังคม ในระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง และเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่ในทัศนะตรงกันข้าม การเมืองไม่จำเป็นต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความขัดแย้งเพียงอย่างเดียว แต่อาจจะเป็นไปในรูปของความร่วมมือสมานฉันท์สร้างสรรค์สังคมกันไว้ได้ กล่าวคือประชาชนบรรลุเป้าหมายนั้นด้วยดี การเมืองมีความสัมพันธ์กันกับการควบคุมและการระงับความขัดแย้งภายในสังคม การกำหนดเป้าหมายร่วมกันและการดำเนินการต่างๆ ร่วมกัน ซึ่งเป็นส่วนรวมหรือที่เรียกว่า "กิจกรรมสาธารณะ" (Public Affair)

รัฐ ชาติ ประเทศ
ความหมายของรัฐ ชาติ ประเทศ
"รัฐ" หมายถึง ชุมชนทางการเมืองของมนุษย์ อันประกอบด้วยดินแดนที่มีขอบเขตแน่นอน มีประชากรอาศัยอยู่ในจำนวนที่เหมาะสม โดยมีรัฐบาลปกครองและมีอำนาจอธิปไตยของตัวเอง

"ชาติ" หมายถึง ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในทางวัฒนธรรม และมีความผูกพันกันในทางสายโลหิต เผ่าพันธุ์ ภาษา ศาสนา วัฒนธรรม ตลอดจนมีประสบการณ์ทางประวัติศาสตร์ร่วมกัน หรือมีวิวัฒนาการทางการเมืองการปกครองร่วมกัน เช่นคำว่า "ชาติไทย"

"ประเทศ" ความหมายกว้าง หมายรวมถึงดินแดนที่มีฐานะเป็นรัฐหรือไม่มีฐานะเป็นรัฐ แต่โดยสรุปแล้ว คำว่า "ประเทศ" ตามกฎหมายระหว่างประเทศ หมายถึง ดินแดน อาณาเขต และสภาพภูมิศาสตร์ เป็นต้นว่าความอุดมสมบูรณ์ ดินฟ้าอากาศ แม่น้ำภูเขา ทะเล ป่าไม้ ฯลฯ เช่น ประเทศไทย

องค์ประกอบของรัฐ
1. ประชากร (Population) หมายถึง มนุษย์ทุกคนที่อยู่ในอาณาเขตของรัฐถือว่า มีฐานะเป็นส่วนของรัฐโดยอัตโนมัติ สิ่งที่ต้องพิจารณาเกี่ยวกับประชากร ก็คือ
 (1) จำนวนประชากรแต่ละรัฐมีประชากรจำนวนเท่าใด ไม่มีการกำหนดที่แน่นอนแต่ควรจะมีมากพอ ที่จะกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองและผู้อยู่ใต้ปกครองได้
(2) ลักษณะของประชากร หมายถึง ลักษณะทางด้านเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา และวัฒนธรรม ซึ่งไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน เพราะมีหลายรัฐที่ประกอบด้วยคนหลายเชื้อชาติ ภาษา และวัฒนธรรม
(3) คุณภาพของประชากร ขึ้นอยู่กับการศึกษา สุขภาพ อนามัย ทัศนะคติ และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการพัฒนาทุกรูปแบบ

2. ดินแดน (Teritory) มีข้อสังเกต ดังนี้
(1) ที่ตั้ง ดินแดนของรัฐ หมายถึง อาณาเขตพื้นดิน น่านน้ำ อาณาเขตในท้องทะเล น่านฟ้า บริเวณใต้พื้นดิน พื้นน้ำ และพื้นทะเล
(2) ขนาดของดินแดน ไม่มีหลักเกณฑ์ไว้แน่นอนตายตัวว่า จะต้องมีขนาดเท่าใด จึงจะถือว่าเป็นรัฐ แต่ควรจะมีความเหมาะสมกับจำนวนประชากรด้วย

3. รัฐบาล (Government) คือ องค์กร หรือหน่วยงานที่ทำหน้าที่ปกครอง และบริหารภายในโดยเป็นผู้กำหนดนโยบายและนำนโยบายไปปฎิบัติ เพื่อจัดระเบียบทางสังคมและดำเนินทุกอย่างเพื่อรักษาผลประโยชน์ของรัฐ รัฐบาลจึงเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองรัฐ

4. อำนาจอธิปไตย (Sovereignty) เป็นองค์ประกอบประการสุดท้ายที่สำคัญของรัฐ อำนาจอธิปไตย คือ อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ อำนาจอธิปไตยมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ
(1) อำนาจอธิปไตยภายใน (Internal Sovereignty) หมายถึง การที่มีอำนาจที่จะปกครองตนเอง และมีอำนาจสูงสุดที่จะดำเนินการใดๆ ในประเทศอย่างมีอิสระ ปราศจากการควบคุมจากรัฐอื่น
(2) อำนาจอธิปไรยภายนอก (External Sovereignty) หมายถึง การมีอิสระมีเอกราช สามารถจะดำเนินความสัมพันธ์กับประเทศอื่นๆ หรือกล่าวกันอีกอย่างหนึ่งว่า เอกราช ก็คืออำนาจอธิปไตยภายนอกนั้นเอง

องค์ประกอบของรัฐทั้ง 4 ประการนี้ มีความสำคัญเท่าเทียมกัน ถ้ารัฐใดขาดองค์ประกอบในข้อหนึ่งแม้เพียงองค์ประกอบเดียวก็ตาม ถือว่าขาดคุณสมบัติของความเป็นรัฐโดยสิ้นเชิง

จุดประสงค์ของรัฐ
1.สร้างความเป็นระเบียบ
2.การส่งเสริมสวัสดิภาพแก่ประชาชน
3.การส่งเสริมสวัสดิการแก่ส่วนรวม
4.การส่งเสริมคุณธรรม

หน้าที่ของรัฐ
1.การรักษาความสงบเรียบร้อย และความมั่นคงภายใน
2.การให้บริการและสวัสดิการทางสังคม
3.การพัฒนาประเทศ
4.การป้องกันการรุกรานจากภายนอก

 รูปแบบของรัฐ (Forms of State)
1. รัฐเดี่ยว (Unitary State) คือ รัฐที่มีรัฐบาลกลางเป็นผู้มีอำนาจปกครอง และอำนาจบริหารสูงสุดเพียงองค์กรเดียว รัฐบาลกลางเป็นผู้ที่ใช้อำนาจอธิปไตยทั้ง 3 อำนาจ คือ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ รัฐบาลเป็นองค์กรกลางองค์กรเดียวของรัฐที่ปกครองประชาชนได้โดยตลอด รวมถึงการติดต่อสัมพันธ์กับต่างประเทศด้วย ตัวอย่างรัฐเดี่ยว ได้แก่ อังกฤษ ญี่ปุ่น และไทย เป็นต้น

2. รัฐรวม (Composit State) ได้แก่ การรวมตัวกันของรัฐ ตั้งแต่ 2 รัฐขึ้นไป โดยมีรัฐบาลเดียวกัน ซึ่งแต่ละรัฐยังคงมีสภาพเป็นรัฐอยู่เช่นเดิม แต่การใช้อำนาจอธิปไตยของรัฐ ที่มารวมกันอาจถูกจำกัดลงไปตามข้อตกลงที่ทำขึ้น รัฐรวมมีอยู่ 2 ประเภทด้วยกันคือ
(1) สหพันธรัฐ (Federal State) สหพันธรัฐ คือ รัฐที่่เกิดขึ้นจากการรวมตัวกันระหว่างรัฐต่างๆ ตั้งแต่ 2 รัฐขึ้นไปโดยใช้รัฐธรรมนูญฉบับเดียวกันร่วมกัน และความสัมพันธ์เป็น 2 ระดับ คือ มีรัฐบาลกลางของสหพันธรัฐ และรัฐบาลท้องถิ่นเป็นของแต่ละรัฐ ซึ่งเรียกกันว่า "มลรัฐ" ตัวอย่างเช่น สหรัฐอเมริกา อินเดีย มาเลเซีย
(2) สมาพันธรัฐ (Confederation State) สมาพันธรัฐเป็นการรวมตัวกัน ระหว่าง 2 รัฐขึ้นไปโดยไม่มีรัฐธรรมนูญ หรือรัฐบาลร่วมกัน แต่เป็นการรวมตัวกัน อย่างหลวมๆ เพื่อจุดมุ่งหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นการชั่วคราวและเป็นบางกรณีเท่านั้น เช่น การเป็นพันธมิตรกันเพื่อทำสงครามร่วมกัน เป็นต้น ในปัจจุบันนี้รูปแบบของรัฐแบบสมาพันธรัฐ ไม่มีอีกแล้วแต่จะกลายเป็นลักษณะของการรวมตัวกันในรูปขององค์กรระหว่างประเทศ เช่น องค์การนาโต้ องค์การอาเซียน เป็นต้น

ระบอบการเมืองการปกครองที่สำคัญ
ระบอบประชาธิปไตย
เป็นระบอบการปกครองที่มีหลักการ และความมุ่งหมายที่ผูกพันอยู่กับประชาชนโดยประชาชน และเพื่อประชาชน ระบอบประชาธิปไตย แบ่งออกเป้น 2 แบบ คือ แบบที่มี พระมหากษัตริย์เป็นประมุข กับแบบที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุข แบบแรก คือแบบที่ใช้อยู่ในประเทศอังกฤษ ญี่ปุ่น และไทย แบบที่ 2 คือแบบที่ใช้อยู่ในประเทศอินเดีย ฝรั่งเศล และอเมริกา

หลักการสำคัญของระบอบประชาธิปไตย มีดังต่อไปนี้คือ
1. อำนาจอธิปไตย หรืออำนาจสูงสุดสในการปกครองประเทศ หรือเรียกว่าอำนาจของรัฐ (State Power) เป็นอำนาจหน้าที่มาจากประชาชน และผู้ที่จะได้อำนาจปกครองจะต้องได้รับความเห็นชอบจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ

2. ประชาชนมีสิทธิที่จะมอบอำนาจการปกครองให้แก่ประชาชนด้วยกันเอง โดยการออกเสียงเลือกตั้งบุคคลกลุ่มหนึ่งขึ้นมาเป็นผู้บริหารประเทศ ตามระยะเวลาและวิธีการที่กำหนดไว้ เช่น ทุก 4 ปี จะมีการออกเสียงเลือกตั้งผู้แทนของประชาชนพร้องกันทั่วประเทศ

3. รัฐบาล จะต้องเคารพสิทธิและเสรีภาพมูลฐานของประชาชน เช่น สิทธิเสรีภาพในทรัพย์สิน และการแสดงวความคิดเห็น การรวมกลุ่ม เป็นต้น โดยรัฐบาลจะต้องไม่ละเมิดสิทธิเหล่านี้ เว้นแต่เพื่อรักษาความมั่งคงของชาติ หรือเพื่อสร้างสรรค์ ความเป็นธรรมแก่สังคมเท่านั้น

4. ประชาชนทุกคนมีสิทธิเสมอภาคกัน ในการที่จะได้รับบริการทุกชนิดที่รัฐจัดให้แก่ประชาชน

5. รัฐบาลถือกฎหมายและความเป็นธรรมเป็นบรรทัดฐาน ในการปกครองและในการแก้ปัญหาความขัดแย้งต่างๆ เพื่อความสงบสุขของประชาชน

ระบอบเผด็จการ
ระบอบเผด็จการ คือ ระบอบการเมืองการปกครองที่โอกาสในการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ตกลงใจถูกจำกัดอยู่ในบุุคคลเพียงคนเดียวหรือสองสามคน กล่าวคือ จะใช้โอกาสในการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ โดยใช้อำนาจที่ตนมีอยู่ปิดกั้นการแสดงออกของประชาชน หากประชาชนคัดค้านก็จะถูกผู้นำหรือคณะบุคคลลงโทษ

หลักการสำคัญของระบอบเผด็จการ มีดัวนี้
1.ผู้นำคนเดียว หรือคณะผู้นำของกองทัพ หรือของพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียว กลุ่มเดียว มีอำนาจสูงสุดในการปกครอง สามารถใช้อำนาจนั้นได้อย่างเต็มที่โดยไม่ฟังเสียงคนส่วนใหญ่ของประเทศ

2.การรักษาความมั่นคงของผู้นำหรือคณะผู้นำ มีความสำคัญกว่าการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน ประชาชนไม่สามารถที่จะวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของผู้นำได้เลย

3.ผู้นำหรือคณะผู้นำ สามารถจะอยู่ในอำนาจได้ตลอดชีวิต ตราบเท่าที่กลุ่มผู้ร่วมงานหรือกองทัพยังให้ความสนับสนุนอยู่ ประชาชนทั่วไปไม่มีสิทธิที่จะเปลี่ยนผู้นำได้โดยวิถีทางรัฐธรรมนูญ

4.รัฐธรรมนูญ หรือการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จัดตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญและรัฐสภา ไม่มีความสำคัญต่อกระบวนการทางการปกครองเหมือนในระบอบประชาธิปไตย กล่าวคือ รัฐธรรมนูญเป็นแต่เพียงรากฐานรองรับอำนาจของผู้นำหรือคณะผู้นำเท่านั้น ไม่ใช่ตัวแทนของประชาชนอย่างแท้จริง

ระบบเผด็จการมี 3 แบบ คือ เผด็จการทหาร เผด็จการฟาสซิสต์ และเผด็จการคอมมิวนิสต์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น